เมนู

ภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์โปรดทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบ เวรัญชสูตรที่ 1

มหาวรรคที่ 2


อรรถกถาเวรัญชสูตรที่ 1


มหาวรรคที่ 2

เวรัญชสูตรที่ 1 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พึงประกอบบทมีอาทิอย่างนี้ว่า อภิวาเทติ กับ อักษร
ที่กล่าวไว้ในบทนี้ว่า น สมโณ โคตโม แล้วทราบโดยความอย่างนี้ว่า
พระสมณะโคดม ไม่ไหว้ ไม่ลุกขึ้นจากอาสนะ ทั้งไม่เชื้อเชิญ
ด้วยอาสนะอย่างนี้ว่า เชิญท่าน โปรดนั่งตรงนี้. ก็ วา ศัพท์ใน
คำว่า อภิวาเทติ วา เป็นต้น ลงในอรรถชื่อว่า วิภาวนะ ทำให้ชัด
เหมือน วา ศัพท์ในประโยคเป็นต้นว่า รูปํ นิจฺจํ ว่า อนิจฺจํ วา
รูปเที่ยง หรือว่า ไม่เที่ยง. เวรัญชพราหมณ์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว
พอเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทำการกราบตน เป็นต้น จึงกล่าวว่า
ตยิทํ โภ โคตม ตเถว ท่านพระโคดม ข้อนั้นเป็นจริงอย่างนั้น.
อธิบายว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ยินมานั้น เป็นอย่างนั้นจริง. การได้ยิน
มาและการได้เห็นนั้นเข้ากันสมกัน โดยความหมาย ก็คือ เป็น
อย่างเดียวกัน. ก็ท่านพระโคดม ฯลฯ ย่อมไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะ.
เวรัญชพราหมณ์กล่าวย้ำเรื่องที่ตนได้ฟังกับสิ่งที่เห็น จึงกล่าวติเตียน

ด้วยประการอย่างนั้น. บทว่า ตยิทํ โภ โคตม น สมฺปนฺนเมว
ความว่า การไม่กระทำอภิวาทเป็นต้นนั้น ไม่สมควรเลย.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ทรงอาศัยโทษ คือการ
ยกตนข่มท่านแก่เวรัญชพราหมณะนั้น มีพระทัยเยือกเย็นกอร์ปด้วย
พระกรุณา ทรงประสงค์จะขจัดความไม่รู้นั้นแล้วทรงแสดงแต่ความ
ถูกต้อง จึงตรัสอาทิว่า นาหนฺตํ พฺราหฺมณ ดังนี้. ในพระดำรัส
นั้นมีความย่อดังต่อไปนี้ :- ดูก่อนพราหมณ์ เราแม้ตรวจดูด้วย
จักษุ คือพระสัพพัญญุตญาณอันไม่ติดขัด ก็ยังมองไม่เห็นบุคคล
ในโลกนี้ อันต่างด้วยเทวโลกเป็นต้น ที่เราจะพึงกราบ ลุกรับ
หรือเชื้อเชิญด้วยอาสนะ. อีกอย่างหนึ่ง ข้อนี้ไม่น่าอัศจรรย์เลย
เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ยังมองไม่เห็นบุคคลผู้ควรแก่การ
นอบน้อมเห็นปานนี้ ในวันนี้นั้น อีกอย่างหนึ่งแล แม้ในกาลใด
เราเกิดในเดี๋ยวนั้น หันหน้าไปทางทิศอุดร เดินไป 7 ย่างก้าว
แลดูหมื่นโลกธาตุทั้งสิ้น แม้ในกาลนั้น ในโลกนี้ต่างด้วยเทวโลก
เป็นต้น เราก็ยังมองไม่เห็นบุคคลผู้ที่เราจะพึงกระทำการนอบน้อม
เห็นปานนั้น. ครั้งนั้นแล แม้พระขีณาสพมหาพรหม ผู้มีอายุ
16,000 กัป ก็ประคองอัญชลีเกิดความโสมนัสยอมรับนับถือเราว่า
พระองค์เป็นมหาบุรุษในโลกพร้อมทั้งเทวโลก พระองค์เป็นผู้เลิศ
เป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุดของโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ไม่มีผู้ที่จะยิ่งใหญ่กว่าพระองค์. ก็แม้ในกาลนั้น เรามองไม่เห็น
ผู้คนยิ่งใหญ่กว่าเรา จึงเปล่งอาสภิวาจา วาจาอย่างองอาจว่า
เราเป็นผู้เลิศของโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดของโลก เราเป็นผู้

ประเสริฐที่สุดของโลก. เราแม้เกิดได้ครู่เดียวก็ยังไม่มีบุคคล
ที่ควรแก่การกราบไหว้อย่างนี้ บัดนี้ เรานั้นบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
แล้ว จะพึงกราบใครเล่า เพราะฉะนั้น ท่านอย่าปรารถนาการ
นอบน้อมอย่างยิ่งเห็นปานนี้ จากตถาคตเลย ท่านพราหมณ์. เพราะ
ว่าเราตถาคตพึงกราบบุคคลใด ฯลฯ หรือเชื้อเชิญคนใดด้วยอาสนะ
แม้ศีรษะของบุคคลนั้นก็จะพึงขาดหลุดจากคอตกลง ณ พื้นดินทันที
เหมือนผลตาลหลุดจากขั้วที่ติดอยู่หย่อน ๆ เพราะแก่จัด หลุดขาด
จากขั้วตอนสิ้นคืน ฉะนั้น.
แม้เมื่อตรัสอย่างนี้แล้วพราหมณ์ก็ยังกำหนดไม่ได้ว่า พระ-
ตถาคตเป็นผู้เจริญทีสุดในโลก เพราะความด้วยปัญญา เมื่ออดทน
พระดำรัสนั้นอย่างเดียวไม่ได้ จึงกล่าวว่า ท่านพระโคดมผู้ไม่เป็นรส.
ได้ยินว่า พราหมณ์นั้น มีความมุ่งหมายดังนี้:- สามีจิกรรม คือ
การกราบ การลุกรับ และการทำอัญชลี ในโลกที่เขาเรียกว่า
สามัคคีรส ท่านพระโคดมไม่มีเลย เพราะฉะนั้น ท่านพระโคดม
จึงไม่มีรส คือไม่มีรสชาติ ไม่มีรสเป็นสภาวะ. ลำดับนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงหลีกเลี่ยงความขัดแย้งโดยตรง เพื่อ
ให้พราหมณ์นั้นเกิดจิตอ่อนโยน เมื่อจะทรงชี้แจงความหมายของ
คำนั้น โดยประการอื่นในพระองค์ จึงตรัสว่า อตฺถิ เขฺวส
พฺราหฺมณ ปริยาโย
ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถิ เขฺวส ตัดบทเป็น อตฺถิ
โข เอส.
บทว่า ปริยาโย ได้แก่ เหตุ. ท่านอธิบายว่า ดูก่อนพราหมณ์
มีเหตุอยู่ที่บุคคลเมื่อกล่าวถึงเราว่า ท่านพระโคดมไม่มีรสชาติ

ดังนี้ ชื่อว่าพึงกล่าวชอบ คือพึงนับว่ากล่าวความจริง ก็เหตุนั้น
เป็นไฉน ? ดูก่อนพราหมณ์ ความยินดีในรูป ฯลฯ ความยินดีใน
โผฏฐัพพะ. ตถาคตละได้แล้ว. มีอธิบายอย่างไร ? มีอธิบายว่า
ความยินดีในรูป ความยินดีในเสียง ความยินดีในกลิ่น ความยินดี
ในรส ความยินดีในโผฏฐัพพะ อันใด กล่าวคือความพอใจในกามสุข
ย่อมเกิดแก่พวกปุถุชน แม้ที่เขาสมมติกันว่าเป็นผู้ประเสริฐด้วย
ชาติกำเนิด หรือด้วยอุบัติ ผู้พอใจ เพลิดเพลิน กำหนัด
ในรูปารมณ์เป็นต้น รสเหล่าใด ย่อมดึงโลกนี้ไว้เหมือนผูกไว้ที่คอ
หรือเรียกว่าสามัคคีรส เพราะเกิดขึ้นด้วยความพร้อมเพรียงของ
วัตถุและอารมณ์เป็นต้น รสแม้ทั้งหมดนั้น ตถาคตละได้แล้ว. แม้
เมื่อควรจะตรัสว่า เราละเสียแล้ว ก็ไม่ทรงยกพระองค์ด้วยมมังการ
แสดงธรรมอีกอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเทศนาวิลาสความเยื้องกลาย
แห่งเทศนาของพระตถาคต.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปหีนา แปลว่า ไปปราศ หรือขาด
จากจิตสันดาน. ก็ในอรรถนี้ พึงเป็นฉัฏฐีวิภัติ ใช้ในอรรถแห่ง
ตติยาวิภัติ. ชื่อว่ามีรากตัดขาดแล้ว เพราะรากล้วนแล้วด้วยตัณหา
และอวิชชาของรสเหล่านั้น อันตถาคตตัดขาดแล้วด้วยตัณหา
คือ อริยมรรค ชื่อว่ากระทำให้เหมือนวัตถุพื้นที่ตั้งของต้นตาล
เพราะกระทำให้เป็นวัตถุที่ตั้งของความยินดีในรูปเป็นต้น เหล่านั้น
เหมือนวัตถุพื้นที่ตั้งของต้นตาล. เหมือนอย่างว่า เมื่อถอนต้นตาล
พร้อมทั้งราก กระทำประเทศคือพื้นที่ตรงนั้นให้เป็นเพียงพื้นที่ตั้ง
ของต้นตาลนั้น ต้นตาลนั้นย่อมไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นอีก ฉันใด เมื่อ

ถอนความยินดีในรูป เป็นต้น พร้อมทั้งรากด้วยศาตราคืออริยมรรค
กระทำจิตสันดานให้เป็นเพียงวัตถุ เพราะความยินดีในรูปเป็นต้น
เหล่านั้นเคยเกิดขึ้นในกาลก่อน ความยินดีในรูปเป็นต้นเหล่านั้น
แม้ทั้งหมด จึงเรียกว่า ตาลวัตถุกตา กระทำให้เป็นดุจพื้นที่ตั้ง
ของต้นตาล ฉันนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ตาลวัตถุกตา เพราะ
กระทำให้เหมือนตาลยอดด้วน เพราะไม่งอกขึ้นเป็นธรรมดา
ก็เพราะเหตุที่ความยินดีในรูปเป็นต้น ถูกกระทำให้เป็นเหมือนพื้นที่
ตั้งของต้นตาลอย่างนี้ คือย่อมเป็นอันทำไม่ให้มีต่อไป เป็นอันถูกทำ
โดยประการที่ความยินดีในรูปเป็นต้น เหล่านั้นจะไม่มีในภายหลัง
ฉะนั้น จึงตรัสว่า อนภาวํกตา ทำไม่ให้มี. บทว่า อายตึ
อนุปฺปาทธมฺมา
ได้แก่ มีอันไม่เกิดขึ้นในอนาคตเป็นสภาพ.
บทว่า โน จ โข ยํ ตฺวํ สนฺธาย วเทสิ ความว่า ท่านกล่าว
เหตุใดหมายถึงเรา เหตุนั้นย่อมไม่มี. ถามว่า เมื่อตรัสอย่างนี้
ย่อมเป็นอันทรงอนุญาตว่า สามัคคีรสที่พราหมณ์กล่าวนั้นมีอยู่
ในพระองค์ มิใช่หรือ ? ตอบว่า ไม่ใช่ทรงอนุญาต. เพราะผู้ใด
เป็นผู้ควรทำสามัคคีรสนั้นแล้วไม่กระทำ ผู้นั้นควรต้องถูกกล่าวว่า
เป็นผู้ไม่มีรสเป็นรูป เพราะไม่มีสามัคคีรสนั้น. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่ควรทีเดียวที่จะกระทำสามัคคีรสนั้น เพราะเหตุนั้น เมื่อจะทรง
ประกาศความไม่ควรในการทำสามัคคีรสนั้น จึงตรัสว่า โน จ
โข ยํ ตฺวํ สนฺธาย วเทสิ
ดังนี้. อธิบายว่า ท่านกล่าวถึงเราว่า

ไม่มีรสเป็นรส หมายเอาเหตุใด เหตุนั้นไม่ควรกล่าวในเรา
ทั้งหลายเลย.
พราหมณ์ไม่อาจยกเอาความไม่มีรสชาติที่ตนประสงค์
ด้วยอาการอย่างนี้ จึงกล่าวปริยายอื่นต่อไปภายหลังว่า นิพฺโพโค ภวํ
เป็นต้น. ก็ในปริยายทั้งปวง พึงทราบลำดับการประกอบความ
โดยนัยดังกล่าวในเหตุนี้ แล้ว ทราบเนื้อความที่หมายกล่าวอย่างนี้:-
พราหมณ์สำคัญกรรมมีการกราบ เป็นต้น ซึ่งบุคคลผู้เจริญวัย
ทั้งหลายนั้นเท่านั้นว่า สามัคคีบริโภคในโลก และกล่าวหา พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าว่า นิพโภคะไม่มีโภคะ เพราะไม่มีสามัคคีบริโภคนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่า การบริโภคด้วยฉันทราคะในรูป
เป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีในพระองค์จึงทรงอนุญาตปริยาย
อื่นอีก.
พราหมณ์เห็นการไม่กระทำกรรม คือความพระพฤติอัน
เป็นกุศลมีการกราบเป็นต้น ซึ่งคนผู้เจริญวัยในโลก ที่ชาวโลก
กระทำกัน จึงกล่าวหาพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า เป็นอกิริยวาทะ
กล่าวการไม่ทำ. ก็แต่เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสการ
ไม่กระทำกายทุจริตเป็นต้น ฉะนั้น เมื่อทรงเห็นความเป็นผู้มีวาทะ
ว่าไม่เป็นอันทำนั้นในพระองค์ จึงทรงอนุญาตปริยายอื่นอีก. ใน
ข้อนั้น เว้นกายทุจริตเป็นต้นเสีย อกุศลธรรมที่เหลือพึงทราบว่า
อกุศลบาปธรรมมากอย่าง.
พราหมณ์ไม่เห็นกรรมมีการกราบเป็นต้น นั้นนั่นในพระผู้-
มีพระภาคเจ้าอีก สำคัญว่าแบบแผนโลก ประเพณีโลกอันนี้ จะ

ขาดสูญ เพราะอาศัยข้อนี้ จึงกล่าวหาพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
เป็นอุจเฉทวาทะ วาทะว่าขาดสูญ. แต่เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสการขาดสูญแห่งราคะอันเป็นไปในกามคุณ 5 และโทสะ
อันสัมปยุตด้วยอกุศลจิตทั้งสอง ด้วยอนาคามิมรรค อนึ่ง ตรัส
ความขาดสูญแห่งโมหะอันเป็นแดนเกิดอกุศลทั้งปวง ด้วยอรหัตมรรค
ตรัสความขาดสูญแห่งอกุศลธรรมทั้งหมด เว้นกิเลส 3 อย่างนั้น
ด้วยมรรคทั้ง 4 ตามสมควร. ฉะนั้น เมื่อทรงเห็นวาทะว่าขาดสูญนั้น
มีในพระองค์ จึงทรงอนุญาตปริยายอื่นอีก.
พราหมณ์สำคัญว่า พระสมณโคดมชรอยจะเกลียดกรรม
คือความประพฤติอันดีมีการกราบ เป็นต้น ซึ่งคนผู้เจริญวัยนี้
ทีเดียว ด้วยเหตุนั้น จึงไม่กระทำการกราบไหว้เป็นต้นนั้น จึง
กล่าวหาพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า เป็นเชดุจฉี ผู้มักเกลียด. แต่
เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเกลียดกายทุจริตเป็นต้น
คือทรงเกลียด ทรงละอายกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และ
การถึงพร้อม กิริยาที่ถึงพร้อม ความพร้อมเพรียงแห่งอกุศลบาป-
ธรรมมากอย่างแม้ทั้งหมด เหมือนบุรุษผู้รักสวยรักงามเกลียดคูถ
ฉะนั้น ชื่อทรงเห็นความเกลียดอันนั้นในพระองค์ จึงทรงอนุญาต
เหตุข้ออื่นอีก. ตติยาวิภัติว่า กายทุจฺจริเตน เป็นต้น ในพระบาลีนั้น
พึงทราบว่าใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัติ (แปลว่าซึ่งกายทุจริตเป็นต้น).
พราหมณ์ไม่เห็นกรรมมีการกราบเป็นต้น อันนั้นแหละ
ในพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก สำคัญว่า พระสมณโคดมนี้กำจัด คือ
ทำกรรมของผู้เจริญที่สุดในโลก ข้อนี้ให้เสียหายไป อีกอย่างหนึ่ง

เพราะเหตุที่ไม่ทรงทำสามีจิกรรมไม่นั้น ฉะนั้น พระสมณโคดมนี้
ควรกำจัด ควรข่มขี่ จึงกล่าวหาพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เวนยิกะ
ผู้มักกำจัด. ในข้อนั้นมีวจนัตถะ คือความหมายของคำดังต่อไปนี้:-
ชื่อว่าวินัย เพราะกำจัด อธิบายว่า ทำให้พินาศฉิบหาย. วินัย
นั่นแหละเป็นเวนยิกะ (คือความหมายเหมือนกัน). อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า เวนยิกะเพราะควรกำจัด อธิบายว่า ควรข่มขี่. แต่เพราะเหตุ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อกำจัด เพื่อสงบระงับ
ราคะเป็นต้น ฉะนั้น จึงทรงเป็นนักกำจัด. ก็ในบทว่า เวนยิโก นี้
มีความหมายของบทดังต่อไปนี้:- ชื่อว่า เวนยิกะ เพราะทรง
แสดงธรรมเพื่อกำจัด. ก็ประพฤติของตัทธิต ( หลักไวยากรณ์ชนิด
หนึ่ง) มีนัยวิจิตรหลากหลาย. พระผู้มีพระภาคเจ้านี้นั้น ทรงเห็น
ความเป็นนักกำจัด (กิเลส) อันนั้นในพระองค์ จึงทรงอนุญาต
ปริยายอื่นอีก.
เพราะเหตุที่โลกิยชน เมื่อกระทำสามีจิกรรม มีการกราบ
เป็นต้น ย่อมทำคนผู้เจริญวัยให้ยินดีร่าเริง แต่เมื่อไม่ทำ ย่อม
แผดเผา เบียดเบียน ทำความโทมนัสให้เกิดขึ้นแก่ผู้เจริญวัย
เหล่านั้น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงกระทำสามีจิกรรมเหล่านั้น
ฉะนั้น พราหมณ์จึงสำคัญว่า พระสมณโคดมนี้แผดเผาผู้เจริญวัย
หรือสำคัญว่าพระสมณโคดมนี้เป็นคนกำพร้า (ไร้ที่พึง) เพราะ
เว้นจากการประพฤติความดี จึงกล่าวหาพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก
ว่า เป็นตปัสสี คนเผาผลาญ. ในบทว่า ตปัสสี นั้น ความหมาย
ของบทมีดังนี้:- ชื่อว่า ตบะ เพราะแผดเผา. อธิบายว่า เบียดเบียน

บีบคั้น. คำว่าตบะนี้ เป็นชื่อของการทำสามีจิกรรม. ชื่อว่า
ตปัสสี เพราะมีตบะเครื่องเผาผลาญ. ในอรรถวิกัปที่ 2 ไม่พิจารณา
พยัญชนะ (คือไม่คำนึงถึงตัวอักษร) เรียกคนกำพร้าในโลกว่า
ตปัสสี คนช่างเผาผลาญ. แต่เพราะทรงละเหล่าอกุศลธรรม
ทรงนับได้ว่า ตปัสสี ผู้มักเผาผลาญ เพราะทรงละเหล่าอกุศลธรรม
ที่เรียกชื่อว่า ตปนียะ เพราะแผดเผาชาวโลกเสียได้ ฉะนั้น
เมื่อทรงเห็นความเป็นผู้มักเผาผลาญข้อนั้นในพระองค์ จึงทรง
อนุญาตปริยายอื่นอีก. ในบทว่าตปัสสีนั้นมีความหมายของคำ
ดังต่อไปนี้:- อกุศลธรรมทั้งหลายชื่อว่า ตบะ เพราะแผดเผา
คำนี้เป็นชื่อของอกุศลธรรมทั้งหลาย. ชื่อว่าตปัสสี เพราะซัดไป
เหวี่ยงไป ละทิ้ง กำจัดตบะคืออกุศลธรรมเหล่านั้น.
พราหมณ์ยังสำคัญอยู่อีกว่า กรรมมีการกราบเป็นต้นนั้น
ย่อมเป็นไปเพื่อคัพภสมบัติในเทวโลก คือเพื่อได้เฉพาะการปฏิสนธิ
ในเทวโลก และเห็นว่าสามีจิกรรมมีการกราบเป็นต้นนั้น ไม่มีใน
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวหาพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ไม่มีใน
ผู้ปราศจากครรภ์. อีกอย่างหนึ่ง แม้เมื่อจะแสดงโทษในการถือ
ปฏิสนธิในครรภ์มารดาของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยอำนาจความ
โกรธ จึงกล่าวอย่างนั้น. ในบทว่า อปคัพภะ นั้น ความของบท
มีดังนี้:- ชื่อว่า อปคัพภะ เพราะปราศจากครรภ์ อธิบายว่า
ไม่ควรอุบัติในเทวโลก. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อปคัพภะ เพราะมี
ครรภ์ที่เกิดเลว อธิบายว่า ชื่อว่ามีส่วนได้ครรภ์ที่เลวต่อไป เพราะ
ห่างไกลครรภ์ในเทวโลก. หรือว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ได้มี

การอยู่ในครรภ์ในท้องพระมารดาอย่างเลว. แต่เพราะเหตุที่คัพภไสยา
การนอนในครรภ์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ไปปราศเสียแล้ว ฉะนั้น
พระองค์เมื่อทรงเห็นความปราศจากครรภ์นั้นในพระองค์ จึงทรง
อนุญาตปริยายอื่นอีก. แม้ในพระบาลีนั้น บทเหล่านี้ว่า ดูก่อน
พราหมณ์ การนอนในครรภ์ การเกิดในภพใหม่ต่อไป อันผู้ใดแล
ละได้แล้ว ดังนี้ พึงเห็นใจความอย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ การ
นอนในครรภ์และการเกิดในภพ ในอนาคตกาล อันบุคคลใดละได้
แล้ว เพราะมีเหตุอันมรรคชั้นเยี่ยมกำจัดแล้ว. ก็ในอธิการนี้ ท่าน
ถือเอาชลาพุชะกำเนิด ด้วย คัพภเสยยะ ศัพท์. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็น
นอกนี้ ด้วย ปุนัพภวาภินิพพัตติ ศัพท์. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็น
เนื้อความในคำนี้อย่างนี้ว่า การนอนของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ชื่อว่า
คัพภไสยา การเกิดคือภพใหม่ ชื่อวา ปุนัพภวาภินิพพัตติ. เหมือน
อย่างว่า แม้เมื่อกล่าวว่าวิญญาณฐิติ ที่ตั้งวิญญาณ ที่ตั้งเป็นอื่น
ไปจากวิญญาณ ย่อมไม่มี ฉันใด แม้ในเรื่องนี้ก็ฉันนั้น ไม่ควร
เข้าใจว่าการนอนเป็นอื่นไปจากครรภ์ (ก็มี). อนึ่ง ชื่อว่าการเกิด
เหตุที่เป็นภพใหม่บ้าง ไม่เป็นภพใหม่บ้าง มีอยู่ และในที่นี้ ประสงค์
เอาการเกิดที่เป็นภพใหม่ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า ปุนพฺภโว เอว
อภินิพฺพตฺติ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติ
การเกิดคือภพใหม่ ชื่อว่าการเกิด
ใหม่ ดังนี้.
พราหมณ์แม้จะด่าด้วยอักโกสวัตถุ เรื่องสำหรับด่ามีความ
เป็นผู้ไม่มีรสชาติเป็นต้น ตั้งแต่เวลาที่มาถึงแล้วด้วยประการอย่างนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ธัมมิสสระเป็นใหญ่ในธรรม ธรรมราชา

พระราชาเพราะธรรม ธรรมสวามี เจ้าของธรรมเป็นตถาคต
ทรงสำรวจดูพราหมณ์ด้วยพระจักษุอันเยือกเย็นด้วยความเอ็นดู
ทรงบรรลุธรรมธาตุใดแล้ว ชื่อว่า ถึงพร้อมด้วยความเยื้องกลาย
แห่งเทศนานั้น เพราะธรรมธาตุนั้นทรงรู้แจ้งดีแล้ว เมื่อจะทรงขจัด
ความมืดมนอนธการในดวงใจของพราหมณ์ ดุจพระจันทร์เพ็ญ
ลอยเด่นในท้องฟ้าอันปราศจากเมฆ และดุจพระอาทิตย์ในสรทกาล
ฤดูร้อน จึงทรงแสดงอักโกสวัตถุเหล่านั้นแหละเป็นอย่างอื่น ด้วย
ปริยายนั้น ๆ เมื่อจะทรงประกาศความแผ่ไปแห่งพระกรุณาของ
พระองค์ คุณลักษณะของผู้คงที่ ความเป็นผู่มีจิตเสนอด้วยแผ่นดิน
และความเป็นผู้มีอกุปปธรรมอันไม่กำเริบ ที่ทรงได้แล้ว เพราะ
ไม่ทรงหวั่นไหวด้วยโลกธรรม 8 ซ้ำอีก จึงทรงพระดำริว่า
พราหมณ์ผู้นี้ย่อมกำหนดความที่ตนเป็นผู้เฒ่า ด้วยอาการมีผมหงอก
ฟันหัก และหนังเหี่ยว เป็นต้นอย่างเดียว ทั้งหารู้ไม่ว่าตนถูกชาติ
ติดตาม ถูกชราต้อนไป ถูกพยาธิครอบงำ ถูกมรณะคอยกำจัด
ตายวันนี้แล้ว วันรุ่งขึ้นก็จะต้องกลายเป็นทารกนอนหงายอีก. ก็
(เขา) เขายังสำนักเราด้วยความอุตสาหะเป็นอันมาก ขอการมา
ของเขานั้นจงมีประโยชน์เถิด เมื่อจะทรงแสดงว่าพระองค์เป็นผู้
เกิดก่อนไม่มีคนเทียมในโลกนี้ จึงทรงเพิ่มพระธรรมเทศนาแก่
พราหมณ์โดยนัยว่า เสยฺยถาปิ พฺราหฺมณ ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺยถาปิ เป็นต้นไป พึงทราบ
ความโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั้นแหละ. ส่วนความแปลกกัน
มีดังนี้ :- ก็โดยนัยดังกล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ ลูกไก่เหล่านั้น

กระพือปีกร้องออกไป พอเหมาะแก่ขณะนั้น และบรรดาลูกไก่
เหล่านั้นซึ่งออกไปอย่างนั้น ลูกไก่ตัวใดออกก่อน ลูกไก่ตัวนั้น
เขาเรียกว่าพี่ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประสงค์จะทำ
ความที่พระองค์เป็นพี่ผู้เจริญที่สุดให้สำเร็จด้วยอุปมานั้น จึงตรัส
ถามพราหมณ์ว่า โย นุ โข เตสํ กุกฺกุฏจฺฉาปกานํ ฯเปฯ กินฺติ
สฺวาสฺส วจนีโย
บรรดาลูไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใดหนอแลออก
ก่อน ฯลฯ ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่าอย่างไร ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า กุกฺกุฏจฺฉาปกานํ แปลว่า บรรดาลูกไก่ทั่งหลาย. บทว่า
กินฺติ สฺวาสฺส วจนีโย ความว่า ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่าอะไร
คือพึงเรียกอย่างไร จะเรียกว่าพี่หรือน้อง.
บทว่า เชฏฺโฐติสฺส โภ โคตม วจนีโย ความว่า ท่านพระโคดม
ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่าเป็นพี่. หากจะมีผู้ถามว่า เพราะเหตุไร ?
แก้ว่า เพราะบรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวนั้นแก่กว่าเพื่อน.
อธิบายว่า เพราะลูกไก่ตัวนั้นเป็นตัวแก่กว่าลูกไก่เหล่านั้น. ลำดับ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงทำความอุปมาให้สำเร็จผลแก่
พราหมณ์นั้น จึงตรัสว่า เอวเมว โข ดังนี้เป็นต้น. (อธิบาย)
แม้เราก็เหมือนลูกไก่ตัวนั้น. บทว่า อวิชฺชาคตาย ปชาย ความว่า
ความไม่รู้ เรียกว่าอวิชชา. หมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอวิชชา คือความ
ไม่รู้นั้น. บทว่า ปชาย นี้ เป็นชื่อของสัตว์. อธิบายว่า ในสัตว์
ทั้งหลายผู้เข้าไปอยู่ภายในกะเปาะไข่ คืออวิชชา บทว่า อณฺฑภูตาย
ได้แก่ มีแล้ว คือเกิดแล้ว เกิดพร้อมแล้วในไข่. เหมือนอย่างว่า
สัตว์บางจำพวกเกิดในไข่ เรียกว่า อัณฑภูต ฉันใด หมู่สัตว์แม้

ทั้งหลายนี้ก็ฉันนั้น เรียกว่าอัณฑภูต เพราะเกิดในกะเปาะไข่ คือ
อวิชชา. บทว่า ปริโยนทฺธาย ได้แก่ อันกะเปาะไข่ คืออวิชชา
นั้นหุ้ม คือ ผูกพันไว้โดยรอบ บทว่า อวิชฺชณฺฑโกสํ ปทาเลตฺวา
ได้แก่ ทำลายกะเปาะไข่อันสำเร็จด้วยอวิชชานั้น.
บทว่า เอโกว โลเก ความว่า เราเท่านั้นเป็นเอก ไม่เป็น
ที่สอง ในโลกสันนิวาสแม้ทั้งสิ้น. บทว่า อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ
อภิสมฺพุทฺโธ
ได้แก่ พระปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบและโดยพระองค์
เอง ปราศจากผู้ยิ่งกว่า คือประเสริฐสุดกว่าเขาทั้งหมด. อีก
อย่างหนึ่ง พระปัญญาเครื่องตรัสรู้อันประเสริฐและดี. คำว่า โพธิ
นี้เป็นชื่อของอรหัตมรรคญาณ. ทั้งเป็นชื่อของพระสัพพัญญุตญาณ
ด้วย. แม้ชื่อทั้งสองก็เหมาะ ถามว่า อรหัตตมรรคของคนเหล่าอื่น
เป็นปัญญาเครื่องตรัสรู้ยอดเยี่ยมหรือไม่ ? ตอบว่า ไม่เป็น. เพราะ
เหตุไร ? เพราะไม่ให้คุณทุกอย่าง. ก็บรรดาบุคคลเหล่านั้น
อรหัตมรรคย่อมให้เฉพาะอรหัตตลแก่บางคน ให้วิชชา 3 แก่
บางคน ให้อภิญญา 6 แก่บางคน ให้ปฏิสัมภิทา 4 แก่บางคน
ให้สาวกบารมีญาณแก่บางคน สำหรับพระปัจเจกพุทธะทั้งหลาย
ให้เฉพาะปัจเจกโพธิญาณเท่านั้น ส่วนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ให้คุณสมบัติทุกอย่าง เหมือนการอภิเษกให้ความเป็นใหญ่ในโลก
ทั้งปวงแก่พระราชา เพราะเหตุนั้น ปัญญาเครื่องตรัสรู้อันยอดเยี่ยม
จึงไม่มีแม้แก่ใครอื่น. บทว่า อภิสมฺพุทฺโธ ได้แก่ รู้ทั่วยิ่งแล้ว
แทงตลอดแล้ว อธิบายว่า บรรลุแล้ว.

บัดนี้ พึงเทียบการสาวกข้ออุปมาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า เอวเมว โข นั้น ด้วยเนื้อความแล้วทราบ
อย่างนี้:- เหมือนอย่างว่า แม่ไก่ตัวนั้นกระทำอริยา 3 อย่าง
มีการนอนกกไข่ของตน ฉันใด การที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้ง
เป็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โพธิบัลลังก์ กระทำอนุปัสสนาปัญญา
เห็นเนือง ๆ 3 อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสันดานของ
พระองค์ ก็ฉันนั้น การไม่ทำวิปัสสนาญาณให้เสื่อมไป ด้วยการ
ยังอนุปัสสนา 3 ประการให้สมบูรณ์อยู่แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ เหมือนฟองไข่ไม่ตายโคม ด้วยการทำ
กิริยาทั้ง 3 ของแม่ไก่ให้สมบูรณ์ การที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้ง
เป็นโพธิสัตว์ ทำลายความเยื่อใยด้วยอำนาจความใคร่อันไปตามภพ
ทั้ง 3 ด้วยการทำอนุปัสสนา 3 อย่างให้สมบูรณ์ เหมือนแม่ไก่
ทำยางเมือก ของไข่ให้สิ้นไปด้วยการทำกิริยาทั้ง 3 อย่าง (คือ
กก ทำให้อบอุ่น ฟักให้ได้รับกลิ่นตัวแม่ไก่) ความที่กะเปาะฟองไข่
คืออวิชชาเป็นของเบาบาง ก็ด้วยการที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้ง
เป็นพระโพธิสัตว์ทรงทำอนุปัสสนาทั้ง 3 ให้สมบูรณ์ เหมือนความ
ที่กะเปาะฟองไข่เป็นของบอบบาง ก็เพราะแม่ไก่ทำกิริยาทั้ง 3
อย่าง ฉะนั้น. ความที่วิปัสสนาญาณเป็นคุณชาติกล้าแข็ง ผ่องใส
และแหลมคม ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์
ทรงทำอนุปัสสนาทั้ง 3 ให้สมบูรณ์ เปรียบเหมือนความที่เล็บเท้า
และจะงอยปากของลูกไก่เป็นของหยาบและแข็ง ก็ด้วยการที่แม่ไก่
ทำกิริยาทั้ง 3 ฉะนั้น. เวลาที่วิปัสสนาญาณเปลี่ยนไป เวลาขยายไป

เวลาถือเอาห้อง ก็ด้วยการที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งเป็นพระ-
โพธิสัตว์ ทรงทำอนุปัสสนาทั้ง 3 ให้บริบูรณ์ เปรียบเหมือนเวลา
ที่ลูกไก่เปลี่ยนไป ก็ด้วยการที่แม่ไก่ทำกิริยาทั้ง 3 ฉะนั้น พึงทราบ
เวลาที่ทำวิปัสสนาญาณให้ถือเอาห้อง ทำลายกะเปาะไข่ คืออวิชชา
ด้วยอรหัตมรรคที่บรรลุโดยลำดับ กระพือปีกคือ อภิญญา 6 ทำ
ให้แจ้งพุทธคุณทั้งสิ้นโดยสวัสดี ด้วยการที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงบำเพ็ญอนุปัสสนาทั้ง 3 ให้บริบูรณ์ เหมือนเวลาที่ลูกไก่ทำลาย
กะเปาะฟองไข่ด้วยปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปาก กระพือปีกเจาะ
ออกโดยสวัสดีด้วยการทำกิริยาทั้ง 3 อย่างของแม่ไก่ ฉะนั้น.
บทว่า อหญฺหิ พฺราหฺมณ เชฏโฐ เสฏโฐ โลกสฺส ความว่า
ดูก่อนพราหมณ์ บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวที่ทำลายกะเปาะ
ฟองไข่บังเกิดก่อน เป็นตัวพี่ ฉันใด บรรดาหมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ใน
วิชชา เรานี่แหละ นับว่าเป็นผู้เจริญกว่า คือ เป็นผู้เจริญที่สุด
เพราะทำลายกะเปาะฟองไข่บังเกิดก่อน เป็นตัวพี่ ฉันใด บรรดา
หมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอวิชชา เรานี่แหละ นับว่าเป็นผู้เจริญกว่า คือ
เป็นผู้เจริญที่สุด เพราะทำลายกะเปาะฟองไข่ คืออวิชชานั้น
เกิดในอริยชาติก่อน ฉันนั้น หนึ่ง นับว่าเป็นผู้ประเสริฐ เพราะ
ไม่มีผู้เทียบได้ด้วยคุณทั้งปวง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงประกาศความที่พระองค์เป็น
ผู้เจริญที่สุด ประเสริฐสุดอันยอดเยี่ยมแก่พราหมณ์อย่างนี้แล้ว
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงปฏิปทาอันเป็นเหตุให้ทรงบรรลุถึงความเป็น
ผู้เจริญที่สุดและประเสริฐสุดนั้น ตั้งแต่เบื้องต้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า

อารทฺธํ โข ปน เม พฺราหฺมณ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
อารทฺธํ โข ปน เม พฺราหฺมณ วีริยํ อโหสิ ความว่า ดูก่อนพราหมณ์
ความเป็นผู้เจริญที่สุดและประเสริฐสุดอันยอดเยี่ยมนี้ เราบรรลุ
ด้วยความเกียจคร้าน ด้วยความมีสติหลงลืม ด้วยกายอันกระสับ-
กระส่าย ด้วยจิตอันฟุ้งซ่าน ก็หามิได้ ก็อนึ่งแล เราได้มีความเพียร
อันปรารภแล้ว เพื่อบรรลุความเป็นผู้เจริญที่สุดและประเสริฐสุด
อันนั้น. เรานั่งที่โพธิมัณฑสถาน ได้ปรารภ ประคองความเพียร
ต่างโดยสัมมัปปธาน 4 อันเป็นไปไม่ย่อหย่อน. ความเพียรนั้น
ของเรา ได้เป็นความเพียรไม่ย่อหย่อน เพราะได้ปรารภแล้วทีเดียว.
ก็จะมีแต่ความเพียรอย่างเดียวก็หามิได้ แม้สติก็เป็นอันเราเข้าไป
ตั้งไว้โดยมุ่งตรงต่ออารมณ์ และเป็นสติที่ไม่หลงลืม เพราะเป็น
ธรรมชาติเข้าตั้งมั่นแล้ว. บทว่า ปสฺสทฺโธ กายโย อาสรทฺโธ
ความว่า แม้กายของเราก็เป็นสภาพสงบด้วยอำนาจกายปัสสัทธิ
และจิตตปัสสัทธิ. ในความสงบนั้น เหตุที่เมื่อนามกายสงบ แม้
รูปกายก็ชื่อว่าเป็นอันสงบเหมือนกัน ฉะนั้น จึงไม่ตรัสให้แปลกกัน
เลยว่า นามกาโย รูปกาโย นามกาย รูปกาย แต่ตรัสว่า ปสฺสทฺโธ
กาโย
กายสงบ. บทว่า อสารทฺโธ ความว่า ก็กายนั้นแลชื่อว่าสงบแท้
อธิบายว่า ปราศจากความกระวนกระวาย เพราะเป็นกายสงบ
เที่ยว. บทว่า สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺคํ ความว่า แม้จิต เราก็ตั้งไว้
โดยชอบ คือ ตั้งไว้ด้วยดี เป็นเหมือนแนบแน่น และมีอารมณ์เดียว
คือไม่หวั่นไหว ไม่ดิ้นรน เพราะเป็นจิตตั้งมั่นที่เดียว. ด้วยลำดับ
แห่งคำ เพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันตรัสปฏิปทา อันเป็นเบื้องต้นของ

ฌาน. บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงคุณวิเศษ เริ่มต้นแต่ปฐมฌานที่ทรง
บรรลุด้วยปฏิปทานี้จนถึงวิชชา เป็นที่สุด จึงตรัสคำมีอาทิว่า
โส โข อหํ ดังนี้. ในคำที่ตรัสไว้นั้น เบื้องแรก คำที่มิได้ยกขึ้น
วินิจฉัยนั้น ก็ได้กล่าวไว้ดีแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรคนั่นแล.
ก็ในบทว่า อยํ โข เม พฺรหฺมณ เป็นต้น มิวินิจฉัยต่อไปนี้:-
บทว่า วิชฺชา คือ ที่ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่ากระทำความรู้แจ้ง.
ถามว่า ทำความรู้แจ้งอะไร ? ตอบว่า ทำความรู้แจ้งบุพเพนิวาสญาณ
คือรู้ขันธ์ที่อยู่อาศัยในกาลก่อน. บทว่า อวิชฺชา ได้แก่ โมหะ อัน
ปกปิดวิชชานั้น เพราะอรรถว่ากระทำความรู้แจ้ง บุพเพนิวาส-
ญาณนั่นแหละ. บทว่า ตโม ความว่า โมหะ นั้นนั่นเองชื่อว่า ตมะ
ความมืด เพราะอรรถว่าปกปิดวิชชานั้น. บทว่า อาโลโก ความว่า
วิชชานั้นนั่นแล ชื่อว่า อาโลกะ ความสว่าง เพราะอรรถว่า
กระทำความสว่าง. ก็ในบทว่า อาโลโก นี้มีใจความดังนี้ว่า วิชชา
เราบรรลุแล้ว. คำที่เหลือ (จากอาโลโก) เป็นคำสรรเสริญ. ก็ใน
ข้อนี้ประกอบด้วยความดังต่อไปนี้:- วิชชานี้แล เราบรรลุแล้ว
เมื่อเรานั้นบรรลุวิชชาแล้ว อวิชชาก็หายไป อธิบายว่า พินาศไป.
เพราะเหตุไร ? เพราะวิชชาเกิดขึ้น. ในบททั้งสองแม้นอกนี้ ก็นัยนี้
บทว่า ตํ ในบทว่า ยถา ตํ นี้ เป็นเพียงนิบาต. ชื่อว่าผู้ไม่ประมาท
เพราะไม่อยู่ปราศจากสติ ชื่อว่ามีความเพียร เพราะมีความเพียร
เครื่องเผากิเลส ชื่อว่าผู้มีตนส่งไป อธิบายว่า ผู้มีจิตส่งไปแล้ว
เพราะไม่อาลัยในกายและชีวิต. ท่านอธิบายไว้ดังต่อไปนี้:- เมื่อ
บุคคลไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่ อวิชชา พึงถูกขจัดไป

วิชชาพึงเกิดขึ้น ความมืดพึงถูกขจัดไป ความสว่างพึงเกิดขึ้น
ฉันใด อวิชชาอันเราขจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้น ความมืดเราขจัดแล้ว
ความสว่างเกิดขึ้น ฉันนั้นเหมือนกัน. เรานั้นได้ผลอันสมแก่การ
ประกอบความเพียรทีเดียว.
บทว่า อยํ โข เม พฺราหฺมณ ปฐมา อภินิพฺภิทา อโหสิ
กุกฺกุฏจฺฉาปกสฺเสว อณฺฑโกสมฺพา
ความว่า ดูก่อนพราหมณ์
การทำลายกะเปาะไข่ คืออวิชชาอันปกปิดขันธ์ที่เคยอยู่อาศัย
ในกาลก่อน ด้วยจะงอยปาก คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้
ในการระลึกชาติหนหลัง แล้วชำแรกได้ครั้งที่ 1 ออกไปครั้งที่ 1
เกิดเป็นอริยะครั้งที่ 1 นี้แล ได้มีแล้วแก่เรา เหมือนลูกไก่ทำลาย
กะเปาะฟองไข่ ด้วยจะงอยปากหรือปลายเล็บเท้าแล้วชำแรกออกไป
จากกะเปาะฟองไข่นั้น เกิดเติบโตในฝูงไก่ ฉะนั้น. นัยในบุพเพ-
นิวาสกถาว่าด้วยความรู้เรื่องขันธ์เป็นที่อยู่อาศัยในกาลก่อน เพียง
เท่านี้ก่อน.
ส่วนในจุตูปปาตกถา ว่าด้วยความรู้จุติและอุบัติของสัตว์
มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า วิชฺชา ได้แก่ วิชชา คือ ทิพพจักขุญาณ. บทว่า
อวิชฺชา ได้แก่ อวิชชาอันปกปิดจุตูปปาตญาณ. เหมือนอย่างกล่าวไว้
ในบุพเพนิวาสกถาว่า ทำลายกะเปาะฟองไข่ คืออวิชชาอันปกปิด
ขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน ด้วยจะงอยปาก คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ดังนี้ ฉันใด ในที่นี้ควรกล่าว ว่าทำลายกะเปาะไข่ คืออวิชชา

อันปกปิดจุติและอุบัติของสัตว์ ด้วยจะงอยปาก คือ จุตูปปาตญาณ
ดังนี้ ฉะนั้น.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงการบรรลุอาสวักขย-
ญาณ ซึ่งกำหนดเอาด้วยปัจจเวกขณญาณแก่พราหมณ์ จึงตรัส
คำมีอาทิว่า อยํ โข เม พฺราหฺมณ ตติยา วิชฺชา ดังนี้. ในบทเหล่านั้น
บทว่า วิชฺชา ได้แก่ วิชชาคืออรหัตมรรคญาณ. บทว่า อวิชฺชา
ได้แก่ อวิชชาที่ปกปิดสัจจะทั้ง 4 ในบทว่า อยํ โข เม พฺราหฺมณ
ตติยา ภินิพฺภิทา อโหสิ
นี้ มีวินิจฉัยยดังต่อไปนี้. ดูก่อนพราหมณ์
การที่เราทำลายกะเปาะฟองไข่ คืออวิชชาอันปกปิดสัจจะทั้ง 4
ด้วยจะงอยปาก คืออาสวักขยญาณแล้วชำแรกออกครั้งที่ 4 ออกไป
ครั้งที่ 3 เกิดเป็นอริยะครั้งที่ 3 นี้แล ได้มีแล้วแก่เรา เหมือนลูกไก่
ทำลายกะเปาะฟองไข่ด้วยจะงอยปาก หรือด้วยปลายเล็บเท้าแล้ว
ชำแรกออกจากกะเปาะฟองไข่นั้น เกิดมาเติบโตในฝูงไก่ ฉะนั้น.
ถามว่า ด้วยคำเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอะไร ?
ตอบว่า ทรงแสดงความนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ก็ลูกไก่นั้นทำลาย
กะเปาะฟองไข่แล้วออกจากกะเปาะฟองไข่นั้น เกิดครั้งเดียว
เท่านั้น แต่เราทำลายกะเปาะฟองไข่ คืออวิชชาอันปิดขันธ์ที่
อาศัยอยู่ในก่อน เกิดครั้งแรกด้วยวิชชา คือบุพเพนิวาสานุสสติ-
ญาณก่อน จากนั้นก็ทำลายกะเปาะฟองไข่คืออวิชชาอันปิดจุติ
และปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย เกิดครั้งที่ 2 ด้วยวิชชา คือทิพย-
จักษุญาณ ต่อไปลำลายกะเปาะฟองไข่คืออวิชชาอันปิดสัจจะ
ทั้ง 4 เกิดครั้งที่ 3 ด้วยวิชชา คืออาสวักขยญาณ เราเกิด 3 ครั้ง

ด้วยวิชชา 3 อย่างนี้ และการเกิดของเรานั้น เป็นของประเสริฐ
งาม บริสุทธิ์. ก็เมื่อทรงแสดงอย่างนี้ ได้ประกาศพระสัพพัญญูคุณ
แม้ทั้งหมดด้วยวิชชา 3 อย่างนี้ คือประกาศอตีตังสญาณด้วย
บุพเพนิวาสญาณ ประกาศปัจจุบันนังสญาณและอนาคตังสญาณ
ด้วยทิพยจักษุญาณ ประกาศโลกิยคุณและโลกุตตรคุณทั้งสิ้นด้วย
อาสวักขยญาณ ทรงแสดงความที่พระองค์ก็เป็นผู้เจริญที่สุด และ
ประเสริฐสุดด้วยอริยชาติ การเกิดอันประเสริฐแก่พราหมณ์.
บทว่า เอวํ วุตฺเต เวรญฺโช พฺราหฺมโณ ความว่า เมื่อพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงอนุเคราะห์ชาวโลก เมื่อจะทรงอนุเคราะห์
พราหมณ์ ตรัสภาวะที่พระองค์เป็นผู้เจริญที่สุดและประเสริฐที่สุด
ด้วยอริยชาติการเกิดอันประเสริฐแม้ที่ควรปกปิด ด้วยพระธรรม
เทศนาอันประกาศวิชชา 3 อย่างนี้ เวรัญชพราหมณ์มีกายและ
จิตเต็มด้วยความซาบซ่านแห่งปีติ เข้าใจถึงความที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้า เป็นผู้เจริญที่สุดและประเสริฐที่สุดด้วยการเกิดอันประเสริฐนั้น
ได้ตำหนิตนว่า เราได้กล่าวหาพระสัพพัญญูผู้ประกอบด้วยคุณ
ทั้งปวง ผู้เจริญที่สุดในโลกทั้งปวง เช่นว่า ไม่ทำกรรมมีการกราบ
เป็นต้นแก่คนอื่น น่าติจริงหนอพราหมณ์ ช่างไม่รู้ จึงตกลงใจว่า
บัดนี้ ท่านผู้นี้เป็นผู้เจริญที่สุด เพราะเกิดก่อนด้วยอริยชาติ ความ
เกิดอันประเสริฐในโลก เป็นผู้ประเสริฐที่สุด เพราะไม่มีผู้ทัดเทียม
ด้วยคุณทั้งปวง แล้วได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ท่านพระโคดมเป็นผู้เจริญที่สุด ท่านพระโคดมเป็นผู้ประเสริฐที่สุด
ก็แลครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว เมื่อจะชมเชยพระธรรมเทศนาของ

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นต่อไป จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อภิกฺกนฺตํ โภ
โคดม
ไพเราะจริง ท่านพระโคดม. คำนั้นมีเนื้อความดังกล่าวแล้ว
นั่นแล.
จบ อรรถกถาเวรัญชสูตรที่ 1

2. สีหสูตร


[102] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฆาคาร-
ศาลา ป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี สมัยนั้นแล เจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง
เป็นจำนวนมาก นั่งประชุมกันที่สัณฐาคาร กล่าวสรรเสริญ พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย.
ก็สมัยนั้นแล สีหเสนาบดี สาวกของนิครนถ์นั่งอยู่ในบริษัทนั้น
ลำดับนั้นสีหเสนาบดีได้มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น จักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย
จริงอย่างนั้น เจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อจำนวนมากประชุมกันที่สัณฐาคาร
กล่าวสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยอเนกปริยาย
ผิฉะนั้น เราพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้นเถิด ลำดับนั้น สีหเสนาบดีเข้าไปหานิครนถ์นาฏบุตร
ถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะนิครนถ์นาฏบุตรว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ข้าพเจ้าปรารถนาจะเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม.
นิครนถ์นาฏบุตรกล่าวว่า ดูก่อนสีหะ ก็ท่านเป็นกิริยวาท
จักเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมเป็นอกิริยวาททำไม เพราะพระ-
สมณโคดมเป็นอกิริยวาท จึงแสดงธรรมเพื่อกิริยวาท และแนะนำ
พวกสาวกด้วยอกิริยวาทนั้น ครั้งนั้น การตระเตรียมที่จะเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าของสีหเสนาบดี ระงับไป.
แม้ครั้งที่สอง เจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก ได้นั่ง
ประชุมกันที่สัณฐาคาร กล่าวสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม